ฟาน ไดจ์ค กองหลังที่ค่าตัวสูงที่สุด

เกิดเมื่อ: 8 กรกฎาคม 1991 (อายุ 28 ปี) เมือง เบรดา ประเทศ เนเธอร์แลนด์
ความสูง: 1.93 ม.
น้ำหนัก: 92 kg
ฟาน ไดจ์ค กองหลังที่ค่าตัวสูงที่สุด ทีม หงส์แดง ลิเวอร์พูล ผู้คว้ารางวัล PFA หรือ ฤดูกาล 2018-2019 นักฟุตบอลชาวเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันเล่นให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก ฟัน ไดก์ เข้าร่วมฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2014
เกิดเมื่อ: 8 กรกฎาคม 1991 (อายุ 28 ปี) เมือง เบรดา ประเทศ เนเธอร์แลนด์
ความสูง: 1.93 ม.
น้ำหนัก: 92 kg
คู่สมรส: Rike Nooitgedagt
ทีมปัจจุบัน: สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (กองหลัง), ฟุตบอลทีมชาติ (กองหลัง)
รางวัลที่ได้รับ: UEFA Men’s Player of the Year Award

ฟานไดจ์ค เข้าสู่ศูนย์ฝึกของ สโมสร วิลเลี่ยม ทเว ทู ในปี 2009-2010 และ เข้าสู่เส้นทางนักเตะอาชีพของ สโมสร โกรนิงเก้น (Groningen) ปี 2010 ก่อนที่จะมีโอกาสลงเล่นครั้งแรกในฐานะนักเตะอาชีพ พบกับสโมสร เดน ฮาก เมื่อวันที่ 1 เมษายน ปี 2011 ลงเล่นเป็นนักเตะตัวสำรอง ได้ลงสนามในนาทีที่ 72 ของเกมการแข่งขัน ลงเล่นกับ โกรนิงเก้น เพียง 2 ฤดูกาล ก่อนที่ กลาสโกว์ เซลติก จะซื้อตัวไป ด้วยค่าตัวเพียง 2.6 ล้านปอนด์ ในวันที่ 21 มิถุนายน 2013 โดยเซ็นสัญญานานถึง 4 ปี ลงสนามครั้งแรกให้กับทางสโมสร วันที่ 17 สิงหาคม 2013 และอีกครั้งที่ได้ประเดิมสนามกับสังกัดใหม่ เป็นตัวสำรอง โดยเขาได้ลงเล่น 13 นาทีสุดท้าย กับเกมที่ เซลติก เอาชนะ อเบอร์ดีน ไป 2-0 ก่อนที่เกมถัดมา ฟาน ไดจ์ค ได้รับโอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงกับเกมที่ เซลติก เปิดบ้านรับการมาเยือนของ อินเวอร์เนสส์ ผลการแข่งขันจะจบลงด้วย ผลการแข่งขันเสมอ 2-2
ประตูแรกของ กับ เซลติก เกิดขึ้นวันที่ 9 พฤศจิกายน 2013 โหม่งทำประตู ช่วยให้เซลติก เอาชนะ รอสส์ เคาน์ตี้ ไป 4-1 ประตู ก่อนที่จะฟอร์มเข้าฟัก มาทำประตูสุดสวยได้อีกครั้งใน เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นโซโล่ลากบอลขึ้นไปเดี่ยวๆ ก่อนที่จะทำประตูได้สำเร็จ ก่อนที่จะพาทีมเอาชนะ เซนต์ จอห์นสโตน ไปได้ เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น ปราการหลังชาวดัตช์ รายนี้ก็ก้าวขึ้นไปติดทีมยอดเยี่ยมของ ลีก สก็อตแลนด์ ทันที
ฟานไดจ์ค ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในสโมสร กลาสโกว์ เซลติก ในเวลาเพียง 1 ปี ต่อมาในฤดูกาลที่สองกับ กลาส โกว์ เซลติก ฟาน ไดจ์ค ก็กลายเป็นตัวหลักของทีมอย่างเต็มตัว ในฤดูกาลนี้ เขาได้มีโอกาสพบเจอกับยอดทีมของยุโรปมากมาย โดยเฉพาะในศึกยูโรป้า ลีก ในเกมที่เขาพบกับอินเตอร์ มิลาน เขาถูกไล่ออกตั้งแต่นาทีที่ 36 ของเกมนั้น จนทำให้ทีมพ่ายแพ้ไป ในรอบ 32 ทีมสุดท้าย
เขาลงเล่นให้กับทาง เซลติก ถึง 2 ฤดูกาล คือ ฤดูกาล 2013-2014 และฤดูกาล 2014-2015 เล่นไปด้วยกัน 115 รวมทุกรายการกับ เซลติก พร้อมกับคว้าแชมป์และประสบความสำเร็จกับเซลติก
– สกอตติชพรีเมียร์ชิป (Scottish Premiership) : ฤดูกาล 2013-14, 2014-15
– สกอตติช ลีก คัพ (Scottish League Cup) : ฤดูกาล 2014-15
หลังจาก ประสบความสำเร็จอย่างมากมายกับ กลาสโกว์ เซลติก แต่ในปีต่อมาฤดูกาล 2015-2016 หลังจาก เซลติก พ่ายแพ้และตกรอบคัดเลือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทางนักเตะหลายคน ได้ออกมาพูดถึงอนาคตของตัวเอง และเปิดโอกาสที่จะไปลงเล่นสโมสรอื่นบนทวีปยุโรป เพื่อหาประสบการณ์และพัฒนาฝีเท้าให้มากขึ้น
เส้นทางในพรีเมียร์ลีก
วันที่ 1 กันยายน 2015 เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ตัดสินใจเซ็นสัญญา 5 ปี กับเจ้านักบุญ เซาแธมป์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ โรนัลด์ คูมัน ด้วยค่าตัวกว่า 13 ล้านปอนด์ ลงเป็นตัวจริงครั้งแรกวันที่ 12 กันยายน 2015 พบกับ เวสต์บรอมวิช เสมอ 0-0 แต่เพียงสองสัปดาห์ต่อมาเท่านั้น เขาก็สามารถทำประตูแรก ในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ด้วยการโหม่งทำประตูจากลูกตั้งเตะ ช่วยให้ทีมเอาชนะ สวอนซี ซิตี้ ไปได้ 3-1 ต่อมาได้รับตำแหน่งตัวจริงจาก เซาท์แธมป์ตัน พร้อมกับสัญญาใหม่ในเดือน พฤษภาคม ปี 2016 ยาวกว่า 6 ปี ฤดูกาลที่สอง 2016-2017 ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม หลังจาก โชเซ่ ฟอนเต้ ย้ายทีม และนับว่าเป็นฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จมากๆ จนทำให้ทีมยักษ์ทั่วยุโรปต้องการดึงตัวไปร่วมทัพมากมาย โดยเฉพาะ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แต่ด้วยการที่ลิเวอร์พูลประการความสนใจมากจนเกินไป ทำให้ถูกทาง เซาแธมป์ตัน เกิดความไม่พอใจสุดๆ จนลิเวอร์พูล ต้องออกมาขอโทษทางสโมสรเซาแธมป์ตัน และสัญญาว่าจะไม่ดึง ฟาน ไดจ์ค ในฤดูกาลนี้ แต่ทาง ฟาน ไดจ์ค เองก็ยังอยากย้ายทีมอยู่ดี ฤดูกาลที่สามหรือฤดูกาลสุดท้ายกับเซาแธมป์ตัน ฤดูกาล 2017-2018 ตันในช่วงต้นฤดูกาล ฟาน ไดจ์ค ยังอยู่ในทีม แต่ทางต้นสังก็ยังไม่พอใจกับการกระทำของกัปตันทีมรายนี้อยู่ ที่แสดงออกถึงการไม่ใจให้กับสโมสรด้วยการที่จะย้ายทีม และส่งผลให้เค้าไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก และแทบถูกจะตัดออกจากทีมไปเลยทีเดียว จนเวลาเดินทางมาถึงช่วง ตลาดหน้าหนาวของพรีเมียร์ลีก ก็เป็นลิเวอร์พูลติดต่อเข้ามาซื้อตัวไปด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์
ฟาน ไดจ์ค กับ หงส์แดง ลิเวอร์พูล
ฟานไดจ์ค ย้ายเข้ามาอยู่ ลิเวอร์พูล วันที่ 27 ธันวาคม 2017 ด้วยสถิติกองหลังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในโลก และนี่คือความฝันที่เป็นจริงของเขาเลยก็ว่าได้ การได้สวมเสื้อของ วิเวอร์พูล คือ สิ่งที่เค้าคาดฝันรอคอยมาอย่างยาวนาน เขาเปิดตัวในฐานะนักเตะของ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 5 มกราคม 2018 หรือครึ่งฤดูกาลหลังของ 2017-2018 โดยลงเล่นในรายการเอฟเอคัพรอบที่สาม โดยเจอกับ เอฟเวอตัน และเขาก็ช่วยทำประตู เอาชนะไปได้ด้วย ผลการแข่งขัน 2-1 พร้อมกับสถิติที่ยากจะทำลายด้วยการ เดบิวเปิดตัวนัดแรกด้วยศึก เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แถมยังทำประตูได้ เป็นคนแรกนับตั้งแต่ปี 1901 ในฤดูกาลแรกของกองหลังดัตช์แมน เค้าได้ถูกยกย่องว่าเป็นนักเตะช่วยยกระดับคุณภาพแผงหลังของ ลิเวอร์พูล ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ที่สำคัญยังสามารถเล่นได้อย่างเข้าขากับเพื่อนร่วมทีมอย่าง เดยัน ลอฟเรน ได้อย่างลงตัวและแข็งแกร่งมากๆ ที่สำคัญเขายังพาทีมทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับกรายการแข่งขันชิงถ้วยหูใหญ่อย่าง UCL หรือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด ด้วยผลการแข่งขัน 3-1แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะได้ย้ายมาช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง เขากลับลงเล่นมากไปถึง 22 นัด รวมทุกรายการฤดูกาลที่สองกับฟอร์มหรูและดีที่สุดในชีวิตตลอดทั้งฤดูกาล มาถึงในฤดูกาลที่สองของ ฟาน ไดจ์ค กับ ลิเวอร์พูล เรียกได้ว่าฤดูกาลที่สองของปราการหลังชาวดัตช์ มีฟอร์มการเล่นที่ดีมาก เรียกได้ว่าเป็นนักเตะที่ลิเวอร์พูลขาดไม่ได้เด็ดขาด เขายึดตำแหน่งตัวจริงของทัพหงส์แดงตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งฤดูกาลนี้ หรือ ฤดูกาล 2018-19 เขาลงเล่นไปถึง 45 นัด และมีโอกาสพาทีมทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ศึก UCL ประจำฤดูกาลนี้อีกด้วย

คว้านักเตะยอดเยี่ยม PFA 2018-2019 สามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018-19 ด้วยตำแหน่งกองหลังได้สำเร็จ ฟานไดจ์ค โคตรกองหลังชาวดัตช์ ผู้คว้ารางวัล PFA หรือ นักเตะยอดเยี่ยมประจำพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018-2019
หากมองในรายชื่อผู้ท้าชิงในรางวัลนี้ ต้องบอกว่าสุดยอดมาก มีตั้งแต่ กุน อเกวโร่, เอเดน อาซา, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และเพื่อนร่วมทีมอย่าง ซาดิโอ มาเน่ อีกด้วย ผู้ท้าชิงทั้งหมด 5 คนล้วนแล้วแต่เป็นแนวรุกทั้งสิ้น มีเพียง ฟาน ไดจ์ค เท่านั้นที่เป็นกองหลังหนึ่งเดียว และเขาเอาชนะผู้ท้าชิงเหล่านั้นมาด้วยตำแหน่งกองหลัง
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรสำหรับการที่ ฟาน ไดจ์ค ได้รับรางวัลนี้ เนื่องจากฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวาตลอดทั้งฤดูกาล ช่วยให้เกมรับของลิเวอร์พูลเหนียวแน่นขึ้นทันตาเห็น พร้อมกับอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์และเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ในทุกๆ รายการที่ลงเล่น ทั้ง พรีเมียร์ลีก หรือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ตลอด 2 ปีหลัง